โทนเนอร์ กับ คลีนซิ่ง ต่างกันยังไง? ใช้อะไรก่อนหลัง คลีนซิ่งโทนเนอร์สำหรับคนเป็นสิว

“ ในปัจจุบัน มีมลพิษที่เกิดจากภาวะต่างๆ ทั้ง สภาพอากาศ แสงแดด ฝุ่น ละออง หรือแม้แต่คราบเหงื่อไคลของตัวเราเอง เราจึงควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ดี เพื่อทำความสะอาดผิดหน้าจำพวก Cleansing ต่างๆ และควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ เพื่อการบำรุงหลังจากล้างหน้าเสร็จ เพื่อให้ผิวหน้าได้รีเซ็ตตัวเอง ก่อนการแต่งหน้าหรือเจอเคร่าองสำอางที่เราจะลงในขั้นตอนต่อไปนะคะ”

จริงๆ แล้วการทำความสะอาดผิวหน้าให้สะอาดนั้น (ไม่แต่งหน้า แต่ทาครีมกันแดด) ก็ใช้ Cleansing เช็ดซัก 2-3 รอบได้นะ แล้วตามด้วยโฟมล้างหน้าที่เหมาะกับผิวเรา (ผิวของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เช่น ผิวมัน ผิวแห้ง ผิวผสม ผิวที่เป็นสิวเยอะมาก)

หรือถ้าสาวๆหลายคนจะแต่งหน้าแล้ว ก็ใช้ Cleansing สำหรับเช็ดเครื่องสำอาง เช็ดจนผิวหน้าสะอาด ไม่มีคราบติดสำลี(สำลียังคงเป็นสีขาว) แล้วจึงล้างตามด้วยโฟมล้างหน้าที่เหมาะกับผิวเรา แค่นี้ก็สะอาดไร้สิวกวนใจแล้วค่ะ ส่วน Toner นั้นเป็นขั้นตอนก่อนการบำรุง ซึ่งจะใช้หรือไม่ก็ตามสะดวกนะคะ

สารบัญ

โทนเนอร์ กับ คลีนซิ่ง ต่างกันยังไง?

คลีนซิ่งโทนเนอร์ ใช้อะไรก่อนหลัง?

ตอบ: ใช้คลีนซิ่งก่อน โทนเนอร์

  • ใช้คลีนซิ่งก่อน เพราะต้องใช้ก่อนล้างหน้า ใช้เช็คเครื่องสำอาง ตามด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าต่างๆ
  • หลักจากนั้น หลังล้างหน้าเสร็จ ใช้โทนเนอร์เช็ดทำความสะอาดผิวหน้าอีกครั้ง เพื่อเปิดรูขุมขนสำหรับการบำรุงผิวในขั้นตอนต่อไป ก่อนแต่งหน้า นั้นเองค่ะ

Cleansing คลีนซิ่ง

  • ใช้เช็ดทำความสะอาดใบหน้า (เครื่องสำอาง/สิ่งสกปรก) ก่อนการล้างหน้าด้วยโฟมล้างหน้าค่ะ

อธิบาย คือ ใช้ล้างเครื่องสำอาง ครีมกันแดด สิ่งสกปรกให้หมดจด โดยเฉพาะ NIVEA MicellAIR ที่มี Oxygen Boost เพิ่มออซิเจนให้ผิวได้พัก ผิวนุ่มหน้าเด็ก ไม่แก่ก่อนวัย

Toner โทนเนอร์

  • ใช้ปรับ pH Balance ให้กับผิว หรือที่เรียกว่าปรับสภาพผิว เพื่อให้ผิวพร้อมรับ Moisturizer และการบำรุงได้เต็มที่ ซึ่งไม่ใช่ขั้นตอนการทำความสะอาดผิวค่ะ

อธิบาย คือ เป็นที่นิยมใช้หลังจากล้างหน้า เพื่อปรับสมดุลให้ผิวพร้อมรับการบำรุง ด้วย NIVEA Extra White Toner ปรับผิวคล้ำเสียให้กระจ่างใส (มีหลากหลายยี่ห้อ อันนี้อยู่ที่ความชอบของแต่ละคนนะคะ) ควรใช้คู่กับไวท์เทนนิ่งโฟมและมอยเจอร์ไรเซอร์ ก็จะได้ผลที่ดียิ่งขึ้น

ข้อดีข้อเสียของ Cleansing คลีนซิ่ง

ข้อดี

ข้อเสีย

คลีนซิ่งแบบน้ำเป็นน้ำใสๆ (ส่วนใหญ่จะเป็นแบบ Oil-Free) ไม่ทิ้งความเหนียวหรือความมันไว้บนผิวหน้า คลีนซิ่งแบบน้ำเป็นน้ำใสๆ (ส่วนใหญ่จะเป็นแบบ Oil-Free) ไม่สามารถทำความสะอาดเครื่องสำอางกันน้ำได้อย่างหมดจด
คลีนซิ่งชีท (คลีนซิ่งแบบแผ่น) สะดวก ใช้ง่าย ไม่เหนียวเหนาะหนะ คลีนซิ่งชีท (คลีนซิ่งแบบแผ่น) ไม่สะอาดหมดจดเท่าคลีนซิ่งอื่น และราคาสูงกว่าตัวอื่นด้วย
คลีนซิ่งชนิดเจล มักจะมีมอยเจอร์ไรเซอร์บำรุงผิว จะรู้สึกผิวหน้าไม่แห้งตึง คลีนซิ่งชนิดเจล มักมีส่วนผสมของน้ำมัน จึงไม่เหมาะกับสาวผิวมัน
คลีนซิ่งชนิดออย (Cleansing Oil) ใช้ง่ายและล้างเครื่องสำอางค์ได้ดีแม้พวกที่ติดทนมาก คลีนซิ่งชนิดออย (Cleansing Oil)) บางยี่ห้ออาจจะทิ้งคราบมันไว้ ไม่เหมาะกับสาวหน้ามัน
คลีนซิ่งแบบเนื้อนม (Cleansing Milk) นอกจากล้างเครื่องสำอางแล้ว ยังเป็นการบำรุงผิวไปในตัวด้วย คลีนซิ่งแบบเนื้อนม (Cleansing Milk) บางยี่ห้อจะรู้สึกเหนอะหนะไปหน่อยและอาจจะล้างเครื่องสำอางออกไม่เกลี้ยงเท่าชนิดอื่น
คลีนซิ่งแบบครีม (Cleansing Cream) ทำความสามารถผลิตภัณฑ์ตระกูลรองพื้นได้ดี คลีนซิ่งแบบครีม (Cleansing Cream) สาวหน้ามันควรหลีกเลี่ยงคลีนซิ่งแบบครีม (Cleansing Cream)

ข้อดีข้อเสีย Toner โทนเนอร์

ข้อดี

ข้อเสีย

  • ช่วยทำความสะอาดผิว
  • กำจัดสิ่งสกปรกตกค้างบนใบหน้า
  • ช่วยปรับสภาพผิวก่อนทาครีม ทำให้ครีม ซึมเข้าบำรุงได้ดียิ่งขึ้นช่วยให้ผิวกระจ่างใส
  • ลดสาเหตุของผิวหมองคล้ำ
  • ช่วยให้รูขุมขนกระชับ ผิวหน้าเรียบเนียน
  • ช่วยให้ผิวหน้าแข็งแรง ชุ่มชื้น ไม่แห้งเป็นขุย
  • ช่วยลดริ้วรอย ให้ใบหน้าตึงกระชับปรับสภาพผิวให้เรียบเนียน
  • ช่วยให้แต่งหน้าติดทน
  • ราคาแพง
  • หมดเร็ว
  • ห็นผลช้า

โทนเนอร์แต่ละยี่ห้อ

Cleansing คลีนซิ่ง

ข้อมูล คลีนซิ่งและโทนเนอร์

Cleansing คลีนซิ่ง เป็นผลิตภัณฑ์ล้างเครื่องสำอางก่อนการล้างหน้า นิยมเรียกอีกอย่างว่า “รีมูฟเวอร์” มีหลายเนื้อสัมผัสตามการมใช้งานลักษณะของผิว นั้นเองค่ะ

Cleansing คลีนซิ่งมีประโยชน์อย่างไรบ้าง?

  • ช่วยล้างเครื่องสำอางได้หมดจด
  • ไม่ทำให้สิ่งสกปรกอุดตันรรูขุมขน
  • ลดปัญหาสิว เติมความชุ่มชื่นให้ผิว
  • ช่วยผลักเซลล์ผิว ทำให้เรียบเนียนขึ้น

คลีนซิ่ง แบ่งออกเป็นประเภทต่างๆ ดังนี้

1.คลีนซิ่งแบบน้ำเป็นน้ำใสๆ (ส่วนใหญ่จะเป็นแบบ Oil-Free)

แบบนี้คนนิยมกันมากที่สุด เพราะใช้ง่าย เพียงแค่เทคลีนซิ่งลงบนสำลีและค่อยๆ เช็ดเครื่องสำอางออกจนไม่มีคราบเครื่องสำอางติดอยู่ ก็เป็นอันเสร็จ

  • เหมาะสำหรับสาวผิวมันที่สุด

2.คลีนซิ่งชีท (คลีนซิ่งแบบแผ่น) หรือ Makeup Remover Wipes

ลักษณะจะคล้ายๆ ทิชชู่เปียก หรือ Baby wipe ที่เราใช้กันกันนี่แหละ แต่ Sheet มีส่วนประกอบของตัวทำความสะอาดเครื่องสำอางอยู่ด้วย

  • เหมาะสำหรับสาวๆ ที่แต่งหน้าไม่เยอะ ใช้ง่ายและสะดวก

3.คลีนซิ่งชนิดเจล เนื้อคลีนซิ่งจะเป็นลักษณะใสๆ

  • เหมาะสำหรับ สาวๆ ที่แต่งหน้าไม่เยอะ

4.คลีนซิ่งชนิดออย (Cleansing Oil)

สามารถล้างเครื่องสำอางออกได้ง่ายมาก รวมถึงเครื่องสำอางแบบกันน้ำ การใช้ง่ายไม่ยุ่งยาก

  • เหมาะสำหรับสาวๆ ที่มีผิวหน้าแห้ง แต่งหน้าหนัก

5.คลีนซิ่งแบบเนื้อนม (Cleansing Milk)

เนื้อผลิตภัณฑ์จะออกนุ่มๆ คล้ายกับนม วิธีใช้ก็เพียงนวดเบาๆ บนผิวหน้าจนเครื่องสำอางและสิ่งสกปรกออกหมด จากนั้นให้ใช้สำลีหรือฟองน้ำเช็ดหน้าชุบน้ำแล้วเช็ดเนื้อผลิตภัณฑ์ออก

  • เหมาะสำหรับสาวผิวหน้าแห้ง-ปานกลาง

6.คลีนซิ่งแบบครีม (Cleansing Cream)

มีความเข้มข้นกว่าคลีนซิ่งชนิดอื่นๆ ลักษณะคล้ายครีมบำรุง  เพราะถือเป็นการเติมน้ำให้ผิวไปในตัวด้วย วิธีใช้จะคล้ายๆ คลีนซิ่งเนื้อนม

  • เหมาะสำหรับสาวที่มีผิวหน้าธรรมดาถึงผิวหน้าแห้งมาก

“ลองเลือกดูนะคะ ว่าผิวเราเหมาะกับแบบไหน เพราะการล้างหน้า สำคัญมากๆๆๆๆค่ะ เพราะสุขภาพผิวที่ดีจากภายในสู่ภายนอกค่ะ”

โทนเนอร์ คือ ผลิตภัณฑ์ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่จัดอยู่ในกลุ่มของสกินแคร์ ประเภทเช็ดทำความสะอาดรู้ขุมขนบนผิวใบหน้า มีคุณสมบัติช่วย ปรับสมดุลของผิว ช่วยให้ผิวหน้าเปิดรับการบำรุงได้ล้ำลึกกว่าเดิมมากขึ้น ก่อนที่จะลงครีมบำรุงต่างๆ ลงไป

ในตความพิเศษของโทนเนอร์จะช่วยให้ครีมบำรุงทำงานดีขึ้น โดยครีมจะซึมซาบลงสู่ผิวง่ายและลึกมากขึ้น หากใช้ครีมบำรุงหลังโทนเนอร์ หรือบางยี่ห้อ อาจมีการเพิ่มประโยชน์ในแง่อื่นๆ เช่น ความขาวกระจ่างใส และลดเลือนริ้วรอยได้อีกด้วยนะคะ

ใช้โทนเนอร์เพื่ออะไร ?

โทนเนอร์ คือ สิ่งที่จะช่วยทำความสะอาดผิว และเปิดรูขุมขน เพื่อให้การบำรุงทำงานได้ดีขึ้น เพราะรูขุมขนที่ได้รับการทำความสะอาดหมดจด จะช่วยให้ผิวและรูขมขุน เปิดรับการบำรุง สำหรับครีมต่างๆที่เราจะใช้ทาลงบนผิวหน้าในขั้นตอนต่อไป ได้ล้ำลึกกว่าเดิมนั้นเองค่ะ

โทนเนอร์แบ่งออกเป็น 3 ประเภท

1.โทนเนอร์สำหรับทำความสะอาด

โทนเนอร์สำหรับทำความสะอาด คือ จะช่วยกำจัดสิ่งสกปรกที่ตกค้างอยู่บนผิวหน้า เช่นฝุ่นละออง ความมัน ควัน หรือแม้แต่อากาศที่ไม่สะอาด ซึ่งเป็นส่วนเกินบนใบหน้า และเครื่องสำอางที่ยังตกค้างอยู่บนรูขุมขน เพราะต่อให้ใช้ Makeup Remover แล้วก็อาจจะล้างออกไม่สะอาดทั้งหมด ยิ่งถ้ารีบๆก็มี่ได้ช่วยอะไรเลย

การใช้โทนเนอร์จึงเป็นตัวช่วยในการทำความสะอาดได้เป็นอย่างดี ซึ่งส่วนใหญ่โทนเนอร์ประเภทนี้มักจะมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบร่วมในเนื้อโทนเอนร์ด้วย

2.โทนเนอร์บำรุงผิว

          โทนเนอร์บำรุงผิว คือ จะมีส่วนผสมของวิตามินประเภทต่างๆ เกลือแร่ และสารบำรุงผิว (ทั้งเคมีและสารสกัดจากทำธรรมชาติ) ที่จะช่วยให้ความชุ่มชื้นกับผิวหน้า ทำให้ผิวหน้าจะไม่แห้งเป็นขุย ช่วยให้ผิวหน้าแข็งแรงมากขึ้น และทำให้ผิวหน้ากระจ่างใส ไม่แห้งกร้านหรือหยาบลงกว่าเดิม

  • โทนเนอร์กำจัดสิว

         โทนเนอร์กำจัดสิวคือ จะมีการเติมสาร Salicylic Acid หรือ BHA ที่ช่วยรักษาในเรื่องสิวอุดตัน ช่วยลดเลือนริ้วรอยแดง และรอยดำที่เกิดจากปัญหาสิวประเภทต่างๆที่ขึ้นบนใบหน้า อีกทั้งยังช่วยลดความมัน กระชับรูขุมขน ทำให้ใบหน้าที่เคยหมองคล้ำกลับมาขาวสว่างกระจ่างใส ลดโอกาสการเกิดสิวในอนาคตได้อีกด้วย

โทนเนอร์เหมาะกับผิวแบบไหนบ้าง?

1.ผิวแห้ง

          แนะนำโทนเนอร์ที่มีคุณสมบัติให้ความชุ่มชื้นกับใบหน้าเป็นหลัก เพราะผิวแห้งจะมีความเสี่ยงเกิดรอยเหี่ยวย่นได้ง่ายกว่าผิวประเภทอื่น ๆ ควรเลือกโทนเนอร์ที่ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์และให้ความชุ่มชื้นกับผิว จะช่วยให้ผิวไม่แห้งกร้าน

เพิ่มเติม: ควรเลือกใช้โทนเนอร์ที่มีคุณสมบัติเพิ่มเติม เช่น การเติมน้ำให้ผิว มอบความชุ่มชื่นให้กับผิว เพิ่มด้วย

2.ผิวมันหรือผิวผสม

          แนะนำโทนเนอร์ที่มีคุณสมบัติที่เน้นในเรื่องขจัดสิ่งสกปรกเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นคราบฝุ่น คราบเครื่องสำอาง เพราะผู้ที่มีผิวมันหรือมีผิวผสมจะมีโอกาสเกิดสิวง่ายกว่าผิวประเภทอื่น

เพิ่มเติม: ควรเลือกใช้โทนเนอร์ ที่ไม่มีส่วนผสมของ น้ำมัน น้ำหอม และ แอลกอฮอล์ จะเป็นดีที่สุด เนื่องจากสารต่างๆ อาจะมีผลทำให้เกิดการระคายเคืองได้ และควรเลือกที่มีคุณสมบัติที่ช่วย ขจัดความมันส่วนเกิด ลดการอุดตันรูขุมขน และ มีสารในการลดแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิว

3.ผิวธรรมดา

          แนะนำโทนเนอร์ที่มีคุณสมบัติเน้นการบำรุง ผิวแบบธรรมดาถือว่าโชคดีกว่าทุกผิว เพราะผิวไม่ได้มีปัญหาในเรื่องความมันหรือความแห้ง จึงสามารถใช้โทนเนอร์ได้ทุกสูตร ไม่ว่าจะเป็นโทนเนอร์ที่เน้นในเรื่องของการทำความสะอาดหรือเน้นบำรุงผิวก็สามารถเลือกตามใจชอบได้เลย แต่ถ้าเป็นแอดมิน แอดมินขอแนะนำให้เลือกสูตรการบำรุงที่ชุมชื่นจะดีที่สุดค่ะ

เพิ่มเติม: ควรเลือกใช้โทนเนอร์ที่มีคุณสมบัติเพิ่มเติม เช่น การเติมน้ำให้ผิว มอบความชุ่มชื่นให้กับผิว เพิ่มด้วย

ประโยชน์ของโทนเนอร์ มีอะไรบ้าง?

  1. มีหน้าที่ช่วยทำความสะอาดสิ่งสกปรก ที่ตกค้างจากการล้างทำความสะอาดใบหน้า
  2. ช่วยปรับสภาพผิว ปรับค่า PH ให้พร้อมก่อนการทาครีมบำรุงผิว (การปรับค่า Ph ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ โทนเนอร์ มามีอิทธิพล เพราะส่วนมาก Cleanser ในตลาด ก็จะมี ค่า Ph ที่เป็นเบส ค่อนข้างสูง (ประมาณ 7 ขั้นไป) ซึ่งอาจจะทำให้ การทาผลิตภัณท์ต่อไป อาจไม่ค่อยดี ผิวจะได้รับสารอาหารดีที่สุดเมื่ออยู่สภาวะ เป็นกลาง 4.5-5.5 (หรือสภาวะ Ph แบบกรดอ่อนเช่น Vit C แบบ AA request ph 3-4 , AHA BHA ก็เช่นเดียวกัน)  ก็ใช้โทนเนอร์เช็ด เราเลยไม่ต้องรอให้ผิว ปรับ Ph ตัวเอง ก็เลยจะมีประโยชน์เพื่อให้ครีมซึมเข้าสู่ผิวได้ดีขึ้น
  3. โทนเนอร์ที่ดีควรมีส่วนผสมของวิตามิน โปรตีนที่จำเป็นและเกลือแร่ ที่มีสารประกอบเพื่อช่วยในการบำรุงผิว ช่วยลดความมัน กระชับรูขุมขนสำหรับคนผิวมัน ช่วยเติมความชุ่มชื้นสำหรับคนผิวแห้ง ซึ่งโทนเนอร์ที่คุณสมบัติที่หลากหลาย และมีความปลอดภัยอ่อนโยนต่อผิวนั้น อาจจะมีราคาที่ค่อนข้างสูงแต่หากแลกกับความคุ้มค่าและผลลัพธ์นั้น ถือว่าคุ้มมากๆเลยคะ
  4. หากต้องการโทนเนอร์ที่ช่วยลดปัญหาการเกิดสิว ก็อาจจะดู โทนเนอร์ที่มีส่วนผสม ของ Salicylic acid หรือ AHA BHA PHA ที่ช่วยเรื่องการผลัดเซลล์ผิว หรือ ส่วนผสมต่างๆที่ช่วยลดแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิว

วิธีการใช้โทนเนอร์สำหรับมือใหม่

  1. การใช้โทนเนอร์ ต้องเช็ดหลังจากหลังหน้าเสร็จใหม่ ๆ ตอน เช้า-เย็น ก่อนบำรุงผิว
  2. เลือกใช้สำลีแบบแผ่น เพราะจะทำความสะอาดใบหน้าได้ง่าย และเข้าถึงผิวได้มากกว่า แต่สำหรับสาวผิวแพ้ง่าย ก็ต้องเลือกสำลีที่อ่อนโยนกับผิวหรือใช้มือในการกดโทนเนอร์ให้เข้ากับผิว
  3. หยดโทนเนอร์ในปริมาณเท่าเหรียญสิบบาท จับสำลีให้ถนัดมือแล้วค่อย ๆ เช็ดผิวหน้าอย่างเบามือ จะเช็ดหน้าที่ละครึ่งหน้าก็ได้ โดยเน้นในส่วนที่ทำสะอาดหน้าไม่ทั่วถึงอย่าง บริเวณรอบดวงตา จมูก
  4. หลังจากที่ใช้โทนเนอร์แล้ว ไม่ต้องล้างออกนะคะ สามารถทาครีมบำรุงผิวต่อได้เลยตามที่ต้องการนะคะ