ยาคุมกำเนิด เมเปิ้ล ฟอร์ท (Maple Forte)

ยาคุมกำเนิด เมเปิ้ล ฟอร์ท (Maple Forte) มีกี่เม็ด วิธีกิน ข้อดี ข้อเสีย คำเตือน

ยาเมเปิ้ล ฟอร์ท (Maple Forte) จัดเป็นยาคุมกำเนิดชนิดฉุกเฉิน (Emergency Contraceptive Pill) ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อใช้ป้องกันการตั้งครรภ์ “หลัง” จากการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่มีการป้องกัน หรือเกิดความล้มเหลวจากวิธีคุมกำเนิดอื่น เช่น ถุงยางอนามัยแตก รั่ว หรือหลุด, การลืมรับประทานยาคุมกำเนิดแบบรายเดือน, หรือการคำนวณระยะปลอดภัยผิดพลาด

สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องเน้นย้ำคือ เมเปิ้ล ฟอร์ท ไม่ใช่ยาคุมกำเนิดที่ใช้เป็นประจำ และไม่ใช่ยาทำแท้ง แต่เป็นทางเลือกสำรองสำหรับสถานการณ์ฉุกเฉินเท่านั้น เพื่อลดความเสี่ยงจากการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์

ข้อมูลการค้า

  • ชื่อการค้า เมเปิ้ล ฟอร์ท (Maple Forte)
  • ผู้ผลิต บริษัท มิลลิเมด บีเอฟเอส จำกัด (Millimed BFS Co., Ltd.)
  • ราคาโดยประมาณ ราคาขายปลีกในร้านขายยาทั่วไปอยู่ที่ประมาณ 55 บาทต่อแผง (ราคาอาจแตกต่างกันไปในแต่ละร้าน)
  • การจัดจำหน่าย สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป

ส่วนประกอบ และ จำนวนเม็ดยา (Composition and Number of Pills)

ยาเมเปิ้ล ฟอร์ท ถูกออกแบบมาให้ใช้งานง่ายและสะดวกในภาวะเร่งด่วน

  • ตัวยาสำคัญ ลีโวนอร์เจสเตรล (Levonorgestrel)
  • ปริมาณตัวยา 1.5 มิลลิกรัม (mg)
  • จำนวนเม็ดยา 1 กล่อง บรรจุ 1 เม็ด
  • เกี่ยวกับตัวยา Levonorgestrel
    • เป็นฮอร์โมนสังเคราะห์ในกลุ่ม “โปรเจสติน” (Progestin) ที่มีโครงสร้างและการออกฤทธิ์คล้ายกับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนในร่างกาย
    • แม้จะเป็นฮอร์โมนชนิดเดียวกับที่พบในยาคุมกำเนิดแบบปกติบางยี่ห้อ แต่ในยาคุมฉุกเฉินจะใช้ในปริมาณที่สูงมาก (High Dose) เพื่อให้สามารถรบกวนกระบวนการตั้งครรภ์ในภาวะฉุกเฉินได้
  • กลไกการทำงาน การรับประทานฮอร์โมนลีโวนอร์เจสเตรลปริมาณสูงหลังมีเพศสัมพันธ์ จะออกฤทธิ์หลักๆ ดังนี้
    • ยับยั้งหรือชะลอการตกไข่ (Delay/Inhibit Ovulation) เป็นกลไกที่สำคัญที่สุด หากรับประทานยาก่อนที่ร่างกายจะถึงช่วงเวลาตกไข่ ฮอร์โมนปริมาณสูงจะส่งสัญญาณไปที่สมองเพื่อยับยั้งไม่ให้รังไข่ปล่อยไข่ออกมา เมื่อไม่มีไข่ตก การปฏิสนธิจึงไม่สามารถเกิดขึ้นได้
    • สร้างเมือกที่ปากมดลูกให้ข้นเหนียว (Thicken Cervical Mucus) ทำให้มูกบริเวณปากมดลูกหนาและเหนียวขึ้น เป็นอุปสรรคขัดขวางไม่ให้ตัวอสุจิสามารถว่ายผ่านเข้าไปในโพรงมดลูกได้โดยง่าย
    • เปลี่ยนแปลงผนังเยื่อบุโพรงมดลูก (Alter Endometrium) ทำให้สภาวะของเยื่อบุโพรงมดลูกไม่เหมาะสมต่อการฝังตัวของตัวอ่อน (ในกรณีที่เกิดการปฏิสนธิไปแล้ว)
    • ข้อเท็จจริงสำคัญ ยานี้จะไม่มีผลใดๆ หากไข่ที่ปฏิสนธิแล้วได้ฝังตัวที่ผนังมดลูกเรียบร้อยแล้ว จึงไม่สามารถยุติการตั้งครรภ์ที่เกิดขึ้นแล้วได้ (ไม่ใช่ยาทำแท้ง)

วิธีกินยาคุม เมเปิ้ล ฟอร์ท

ประสิทธิภาพของยาขึ้นอยู่กับ “ความเร็ว” ในการรับประทานหลังมีเพศสัมพันธ์โดยตรง

  • กฎเหล็ก รับประทานยา 1 เม็ด โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ หลังจากมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน
  • กรอบเวลาและประสิทธิภาพโดยประมาณ
    • รับประทานภายใน 24 ชั่วโมง ให้ประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์สูงสุด (ประมาณ 95%)
    • รับประทานภายใน 25-48 ชั่วโมง ประสิทธิภาพลดลงเล็กน้อย (ประมาณ 85%)
    • รับประทานภายใน 49-72 ชั่วโมง (3 วัน) ประสิทธิภาพลดลงอีก (ประมาณ 58%) แต่ยังคงแนะนำให้รับประทานหากอยู่ในกรอบเวลานี้
    • หลัง 72 ชั่วโมง จนถึง 120 ชั่วโมง (5 วัน) ประสิทธิภาพของยาจะลดลงอย่างมาก แต่ข้อมูลบางแหล่งระบุว่าอาจยังพอมีผลอยู่บ้าง จึงยังสามารถใช้ได้แต่ไม่ควรคาดหวังผลลัพธ์ที่ดีเท่ากับการรับประทานในช่วงแรกๆ
  • คำแนะนำเพิ่มเติม
    • สามารถรับประทานยาพร้อมอาหารหรือขณะท้องว่างก็ได้
    • หากมีอาการคลื่นไส้ แนะนำให้รับประทานยาพร้อมอาหารหรือหลังอาหารทันที เพื่อช่วยลดอาการคลื่นไส้
    • กรณีอาเจียน หากอาเจียนภายใน 2-3 ชั่วโมงหลังรับประทานยา ให้รีบปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรทันที เพราะยาอาจยังไม่ถูกดูดซึม และอาจจำเป็นต้องรับประทานยาซ้ำอีก 1 เม็ด

ข้อดี

  • สะดวกและรวดเร็ว บรรจุเพียงเม็ดเดียว รับประทานครั้งเดียวจบ ไม่ยุ่งยากซับซ้อน
  • ประสิทธิภาพสูง เมื่อใช้อย่างถูกวิธีและรวดเร็ว ถือเป็นวิธีป้องกันฉุกเฉินที่ได้ผลดี
  • เป็นทางเลือกในภาวะฉุกเฉิน ช่วยเป็น “เกราะป้องกัน” ลดความเสี่ยงและความกังวลจากการตั้งครรภ์เมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน
  • หาซื้อง่าย สามารถจัดซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป แต่แนะนำให้ปรึกษาเภสัชกรทุกครั้งก่อนใช้ยา

ข้อเสียและผลข้างเคียง

  • ไม่เหมาะกับการใช้ประจำ ประสิทธิภาพโดยรวมยังต่ำกว่าการคุมกำเนิดแบบปกติ (เช่น ยาคุมรายเดือน, ยาฉีด, ยาฝัง) และการใช้บ่อยๆ จะรบกวนรอบเดือนอย่างมาก
  • ผลข้างเคียงจากฮอร์โมนขนาดสูง (มักเป็นอาการชั่วคราวและหายได้เองใน 1-2 วัน)
    • คลื่นไส้, อาเจียน
    • ปวดศีรษะ, เวียนศีรษะ
    • อ่อนเพลีย, ไม่มีแรง
    • เจ็บคัดตึงเต้านม
    • ปวดท้องน้อยคล้ายช่วงมีประจำเดือน
  • ผลกระทบต่อรอบเดือน
    • เลือดออกกะปริบกะปรอย เป็นผลข้างเคียงที่พบได้บ่อย อาจมีเลือดซึมออกจากช่องคลอดที่ไม่ใช่ประจำเดือนภายในสัปดาห์แรกหลังกินยา
    • ประจำเดือนคลาดเคลื่อน รอบเดือนถัดไปอาจมา เร็วขึ้น หรือ ช้าลง กว่าปกติได้ประมาณ 1 สัปดาห์ หรืออาจมาตรงตามรอบเดิมแต่มีลักษณะเปลี่ยนไป เช่น มามากหรือน้อยกว่าปกติ
    • ข้อควรสังเกต หากประจำเดือนขาดหายไปนานกว่า 1 สัปดาห์จากวันที่คาดไว้ ควรตรวจการตั้งครรภ์เพื่อความแน่ใจ

คำเตือนและข้อควรระวัง

  • ไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STDs) ยานี้ป้องกันการตั้งครรภ์เท่านั้น ไม่สามารถป้องกัน เอชไอวี (HIV), ซิฟิลิส, หนองใน, เริม หรือโรคอื่นๆ ได้ การใช้ถุงยางอนามัยยังคงเป็นวิธีที่ดีที่สุด
  • ห้ามใช้แทนยาคุมกำเนิดปกติ การใช้ยาคุมฉุกเฉินบ่อยครั้ง (เกิน 2 ครั้งในรอบเดือนเดียวกัน) จะทำให้ฮอร์โมนในร่างกายแปรปรวนอย่างรุนแรง ทำให้รอบเดือนมาผิดปกติอย่างมาก และเพิ่มโอกาสเกิดผลข้างเคียง
  • กลุ่มที่ห้ามใช้ยา
    • ผู้ที่ตั้งครรภ์แล้ว หรือสงสัยว่าตั้งครรภ์
    • ผู้ที่มีประวัติแพ้ตัวยา Levonorgestrel
    • ผู้ป่วยโรคตับขั้นรุนแรง
    • ผู้ที่มีภาวะเลือดออกทางช่องคลอดผิดปกติโดยยังไม่ทราบสาเหตุ
  • กลุ่มที่ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้
    • ผู้ที่มีประวัติการตั้งครรภ์นอกมดลูก หรือการอักเสบในอุ้งเชิงกราน
    • ผู้ที่เป็นโรคเกี่ยวกับการดูดซึมในลำไส้ที่รุนแรง (Malabsorption syndromes)
    • ผู้ที่กำลังใช้ยาอื่นที่อาจลดทอนประสิทธิภาพของยาคุมฉุกเฉิน เช่น ยารักษาวัณโรค (Rifampicin), ยารักษาโรคลมชัก (Phenobarbital, Phenytoin), ยาต้านไวรัส HIV บางกลุ่ม และสมุนไพรเซนต์จอห์นเวิร์ต (St. John’s Wort)

คำถามที่พบบ่อย (Frequently Asked Questions – FAQ)

  • Q: กินยาเมเปิ้ล ฟอร์ท แล้วจะท้องไหม?
    • A: ยาไม่สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ 100% ประสิทธิภาพขึ้นอยู่กับความเร็วในการรับประทานยาหลังมีเพศสัมพันธ์ ยิ่งเร็ว โอกาสป้องกันก็ยิ่งสูง
  • Q: กินยาแล้วมีเลือดออกผิดปกติ ควรทำอย่างไร?
    • A: เลือดออกกะปริบกะปรอยเล็กน้อยถือเป็นผลข้างเคียงที่พบได้ปกติ แต่หากเลือดออกในปริมาณมากเหมือนประจำเดือน หรือออกนานไม่หยุด ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ
  • Q: หลังกินยา ประจำเดือนจะมาเมื่อไหร่?
    • A: อาจมาเร็วขึ้น, ช้าลง, หรือตรงเวลา แต่หากมาช้ากว่าที่คาดไว้เกิน 7 วัน (1 สัปดาห์) แนะนำให้ตรวจการตั้งครรภ์
  • Q: ใช้ยาเมเปิ้ล ฟอร์ท เป็นยาคุมปกติได้หรือไม่?
    • A: ไม่ได้เด็ดขาด เพราะประสิทธิภาพต่ำกว่าวิธีคุมกำเนิดปกติและมีผลข้างเคียงสูงกว่ามาก ควรปรึกษาแพทย์เพื่อเลือกวิธีคุมกำเนิดระยะยาวที่เหมาะสม
  • Q: หากมีเพศสัมพันธ์อีกครั้งหลังกินยาไปแล้ว ยายังคุมได้อยู่หรือไม่?
    • A: ไม่ได้ ยาเมเปิ้ล ฟอร์ท จะออกฤทธิ์ป้องกันการตั้งครรภ์จากการมีเพศสัมพันธ์ “ก่อน” หน้าที่จะกินยาเท่านั้น หากมีเพศสัมพันธ์อีกครั้งหลังจากกินยาไปแล้ว จะต้องใช้วิธีคุมกำเนิดอื่น (เช่น ถุงยางอนามัย) หรือหากไม่ได้ป้องกัน ก็ต้องพิจารณาการใช้ยาคุมฉุกเฉินอีกครั้ง (ซึ่งไม่แนะนำให้ใช้บ่อย)
  • Q: กินยาคุมฉุกเฉินบ่อยๆ อันตรายหรือไม่?
    • A: แม้ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่การใช้บ่อยๆ จะส่งผลเสียต่อระบบฮอร์โมนและทำให้รอบเดือนแปรปรวนอย่างรุนแรง ทำให้คาดการณ์วันตกไข่และวันมีประจำเดือนได้ยาก และเพิ่มโอกาสเกิดผลข้างเคียงต่างๆ

สรุป  ยาเมเปิ้ล ฟอร์ท เป็นเครื่องมือสำรองที่มีประสิทธิภาพในภาวะฉุกเฉิน แต่ต้องใช้อย่างมีความเข้าใจและรับผิดชอบ หากมีข้อสงสัยหรือจำเป็นต้องใช้บ่อยครั้ง ควรเข้าพบแพทย์หรือปรึกษาเภสัชกรเพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับคุณในระยะยาว