ยาคุมกำเนิด รีโวด-1.5 (Revoke-1.5) มีกี่เม็ด วิธีกิน ข้อดี ข้อเสีย คำเตือน
รีโวด-1.5 (Revoke-1.5) เป็นชื่อการค้าของยาคุมกำเนิดฉุกเฉินชนิดหนึ่งที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย จัดเป็นเครื่องมือสำคัญในการป้องกันการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ “หลัง” จากการมีเพศสัมพันธ์ที่มีความเสี่ยง เช่น การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน, ถุงยางอนามัยแตก รั่ว หรือหลุด, หรือการลืมรับประทานยาคุมกำเนิดแบบรายเดือน
สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องทำความเข้าใจคือ ยานี้ ไม่ใช่ยาทำแท้ง และ ไม่ได้มีไว้สำหรับใช้เป็นวิธีการคุมกำเนิดหลักเป็นประจำ แต่ใช้สำหรับสถานการณ์ฉุกเฉินเท่านั้น
ยา Revoke-1.5 มีกี่เม็ด และประกอบด้วยอะไร?
ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน Revoke-1.5 ถูกออกแบบมาให้ใช้งานง่ายและสะดวกที่สุด เพื่อลดความสับสนในสถานการณ์ที่เร่งด่วน
- จำนวนเม็ดยา ใน 1 กล่องของ Revoke-1.5 จะบรรจุยา เพียง 1 เม็ดเท่านั้น
- ตัวยาสำคัญ ยา 1 เม็ด ประกอบด้วยตัวยาฮอร์โมนโปรเจสตินสังเคราะห์ที่ชื่อว่า ลีโวนอร์เจสเตรล (Levonorgestrel) ในปริมาณ 1.5 มิลลิกรัม
- ประเภทของยา จัดเป็น “ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน (Emergency Contraceptive Pill – ECP)” ชนิดฮอร์โมนเดี่ยว ซึ่งการใช้ยาเพียงเม็ดเดียวนี้เป็นรูปแบบที่พัฒนาขึ้นมาใหม่ เพื่อลดโอกาสในการลืมรับประทานยาเม็ดที่สอง (ซึ่งเป็นรูปแบบเก่าที่ต้องรับประทาน 2 ครั้ง)
วิธีกินยา Revoke-1.5 และกลไกการออกฤทธิ์
การรับประทานยาอย่างถูกวิธีและทันเวลาเป็นหัวใจสำคัญของประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์
วิธีกินยาเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด
- รับประทานทันที ควรรับประทานยา 1 เม็ด ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ หลังจากมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน
- กรอบเวลาสำคัญ แม้จะแนะนำให้ทานเร็วที่สุด แต่ยายังคงมีประสิทธิภาพหากรับประทานภายใน 72 ชั่วโมง (3 วัน) หลังมีเพศสัมพันธ์
- ยิ่งเร็วยิ่งดี ประสิทธิภาพของยาจะลดลงตามเวลาที่ผ่านไป
- การรับประทาน สามารถรับประทานยาพร้อมอาหารหรือไม่ก็ได้ แต่การรับประทานพร้อมอาหารอาจช่วยลดอาการคลื่นไส้ได้
- กรณีอาเจียน หากคุณอาเจียนภายใน 2-3 ชั่วโมงหลังจากรับประทานยา ให้รีบปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรทันที เพราะอาจจำเป็นต้องรับประทานยาซ้ำอีก 1 เม็ด
กลไกการออกฤทธิ์ของยา
ตัวยา Levonorgestrel 1.5 mg ทำงานผ่านหลายกลไกเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ โดยกลไกหลักคือ
- ยับยั้งหรือชะลอการตกไข่ (Inhibition of Ovulation) เป็นกลไกที่สำคัญที่สุด ยาจะเข้าไปรบกวนระดับฮอร์โมนในร่างกาย ทำให้ไข่ไม่ถูกปล่อยออกมาจากรังไข่ในรอบเดือนนั้น เมื่อไม่มีไข่ตก อสุจิจึงไม่สามารถปฏิสนธิได้
- ทำให้มูกบริเวณปากมดลูกข้นเหนียวขึ้น (Thickening of Cervical Mucus) ทำให้สเปิร์มหรืออสุจิเคลื่อนที่ผ่านเข้าไปในโพรงมดลูกได้ยากลำบากยิ่งขึ้น เป็นการสร้างปราการด่านที่สอง
- เปลี่ยนแปลงผนังเยื่อบุโพรงมดลูก (Alteration of Endometrium) ยาอาจมีผลทำให้ผนังมดลูกไม่เหมาะสมต่อการฝังตัวของไข่ที่ปฏิสนธิแล้ว (หากเกิดการปฏิสนธิขึ้น) อย่างไรก็ตาม ยานี้จะไม่มีผลใดๆ หากตัวอ่อนได้ฝังตัวที่ผนังมดลูกไปแล้ว จึงไม่สามารถทำให้เกิดการแท้งได้
ข้อดี (Advantages)
- สะดวกและใช้งานง่าย ด้วยรูปแบบยาเพียงเม็ดเดียว ทำให้รับประทานง่าย ไม่ยุ่งยาก และลดโอกาสการลืมกินยาเม็ดที่สองเหมือนในอดีต
- ประสิทธิภาพสูง (เมื่อใช้อย่างถูกต้อง) หากรับประทานอย่างรวดเร็วภายใน 24 ชั่วโมงแรก จะให้ประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ที่สูงมาก
- เข้าถึงง่าย สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไปโดยไม่จำเป็นต้องใช้ใบสั่งยาจากแพทย์ ทำให้เข้าถึงได้อย่างรวดเร็วในสถานการณ์ฉุกเฉิน
- เป็นทางเลือกสำรองที่สำคัญ เป็นเครื่องมือที่ช่วยลดอัตราการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ได้อย่างมีนัยสำคัญ สำหรับผู้ที่ประสบเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
ข้อเสียและผลข้างเคียง (Disadvantages and Side Effects)
แม้จะมีประโยชน์ แต่ยาคุมฉุกเฉินก็มีข้อเสียและผลข้างเคียงที่ควรทราบ
ข้อเสียโดยรวม
- ประสิทธิภาพด้อยกว่าวิธีคุมกำเนิดปกติ ประสิทธิภาพของยาคุมฉุกเฉินนั้นต่ำกว่าการใช้วิธีคุมกำเนิดแบบปกติอย่างสม่ำเสมอ เช่น ยาเม็ดคุมกำเนิดรายเดือน, การฉีดยาคุม, หรือการใส่ห่วงอนามัย จึงไม่ควรใช้แทนวิธีเหล่านี้
- รบกวนรอบเดือน การใช้ยาคุมฉุกเฉินซึ่งมีฮอร์โมนปริมาณสูง อาจทำให้ประจำเดือนในรอบถัดไปมาเร็วขึ้น, ช้าลง, หรือมีปริมาณเลือดแตกต่างไปจากเดิมได้
- ไม่ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ยานี้ป้องกันได้แค่การตั้งครรภ์เท่านั้น แต่ไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STIs) เช่น HIV, ซิฟิลิส, หนองใน, หรือเริมได้ การใช้ถุงยางอนามัยยังคงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันโรคเหล่านี้
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ (มักไม่รุนแรงและหายไปเองใน 1-2 วัน)
- คลื่นไส้ อาเจียน เป็นอาการที่พบได้บ่อยที่สุด
- ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ
- อ่อนเพลีย
- เจ็บคัดเต้านม
- ปวดท้องน้อย
- มีเลือดออกกะปริบกะปรอยทางช่องคลอด อาจพบเลือดออกเล็กน้อยก่อนจะถึงรอบประจำเดือนจริง
คำเตือนและข้อควรระวังที่สำคัญอย่างยิ่ง
- ห้ามใช้หากตั้งครรภ์แล้ว ยานี้ใช้เพื่อ “ป้องกัน” การตั้งครรภ์เท่านั้น และจะไม่มีผลใดๆ หากคุณตั้งครรภ์แล้ว และไม่สามารถทำให้แท้งได้
- ผู้ที่ห้ามใช้ยา
- ผู้ที่ตั้งครรภ์ หรือสงสัยว่าอาจจะตั้งครรภ์
- ผู้ที่มีประวัติแพ้ตัวยา Levonorgestrel
- ผู้ที่มีภาวะเลือดออกทางช่องคลอดผิดปกติโดยยังไม่ทราบสาเหตุ
- ผู้ที่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยา
- ผู้ที่เป็นโรคตับรุนแรง
- ผู้ที่มีประวัติหรือเป็นโรคหลอดเลือดอุดตัน (Thrombosis)
- ผู้ที่เป็นมะเร็งเต้านม หรือมะเร็งชนิดอื่นๆ ที่มีความไวต่อฮอร์โมน
- ความถี่ในการใช้ ไม่ควรใช้ยาคุมฉุกเฉินเกิน 2 ครั้งในรอบเดือนเดียวกัน เพราะจะเพิ่มความเสี่ยงของผลข้างเคียงและทำให้รอบเดือนแปรปรวนอย่างมาก หากคุณพบว่าตัวเองต้องใช้ยาคุมฉุกเฉินบ่อยครั้ง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อเลือกวิธีการคุมกำเนิดแบบปกติที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากกว่า
- การติดตามผลหลังรับประทานยา หลังจากรับประทานยาไปแล้ว หากประจำเดือนของคุณ ขาดหายไปนานเกินกว่า 1 สัปดาห์ จากวันที่คาดว่าจะมา หรือมีอาการปวดท้องรุนแรง ควรทำการทดสอบการตั้งครรภ์และไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย
สรุป Revoke-1.5 เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์อย่างยิ่งในสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่สิ่งสำคัญคือการใช้งานอย่างเข้าใจ ถูกต้อง และตระหนักถึงข้อจำกัดของมัน การวางแผนการคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพในระยะยาวคือทางเลือกที่ดีที่สุดเพื่อสุขภาพของคุณ
ข้อความข้างต้นเป็นข้อมูลเพื่อการศึกษาเบื้องต้น ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้งก่อนใช้ยา เพื่อให้มั่นใจว่าปลอดภัยและเหมาะสมกับสภาวะสุขภาพของแต่ละบุคคล